วันเสาร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2558

การเรียงลำดับของรูปแบบรายงาน


การเรียงลำดับของรูปแบบรายงาน

การจัดรูปแบบการเขียนรายงาน เรียงลำดับตามนี้
  1. หน้าปก –> คลิ๊กอ่านรายละเอียด
  2. หน้ารองปก (กระดาษเปล่า)
  3. หน้าปกใน (รายละเอียดเหมือนหน้าปกแต่ใช้กระดาษสีขาว)
  4. คำนำ (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  5. สารบัญ (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  6. เนื้อเรื่อง (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  7. บรรณานุกรม หรือ เอกสารอ้างอิง (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  8. ภาคผนวก (คลิ๊กอ่านรายละเอียด)
  9. รองปกหลัง (กระดาษเปล่า)
  10. หน้าปกหลัง
การจัดหน้ากระดาษ ใช้กระดาษ A4 โดยตั้งค่าหน้ากระดาษ ดังนี้ ครับ
  • ซ้าย ระยะห่างเท่ากับ 1.5 นิ้ว
  • ขวา ระยะห่างเท่ากับ 1 นิ้ว
  • บน ระยะห่างเท่ากับ 1.5 นิ้ว
  • ล่าง ระยะห่างเท่ากับ 1 นิ้ว
หมายเหตุ 1 นิ้ว เท่ากับ 2.54 เซนติเมตร สอนการตั้งค่าหน้ากระดาษ
Category: รูปแบบ | ไม่ให้ใส่ความเห็น
กุมภาพันธ์ 16

ตัวอย่างหน้าปกรายงาน หน้าปกรายงาน


ตัวอย่างหน้าปกรายงาน  มีรูปแบบดังนี้

ตัวอย่างหน้าปกรายงาน
ภาพตัวอย่างหน้าปกรายงาน

วิธีทำตัวอย่างหน้าปกรายงาน

วิธีการทำนั้นไม่ยากเลยครับ เพี้ยงเราแก้ตรง ข้อมูลส่วนตัวของเราไปแทนที่ได้เลย แต่บางครั้งรูปแบบของแต่ละโรงเรียนอาจไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าอาจารย์สั่งรูปแบบของอาจารย์ เราก็เปลี่ยนตาม แต่ถ้าไม่ได้สั่งรูปแบบมาก็ยึดตามรูปแบบนี้ได้เลยครับ
ภาพด้านบนเป็น ตัวอย่างหน้าปกรายงานที่ผมทำขึ้น โดยเป็นตัวอย่างให้ดูคร่าวๆนะครับ เพื่อเป็นแนวทางในการทำ ยังไงก็ลองเอาไปปรับใช้กับรายงานได้ตามสะดวกเลยนะครับ

Category: หน้าปก | ไม่ให้ใส่ความเห็น
กุมภาพันธ์ 10

รูปแบบ การเขียนหน้าปกรายงาน



รูปแบบ การเขียนหน้าปกรายงาน มีส่วนต่างๆ ดังนี้


ชื่อเรื่อง
จัดทำโดย
ชื่อ นามสกุล ผู้ทำรายงาน
ชั้นประถมศึกษาปีที่  xx  เลขที่ xx
เสนอ
อาจารย์xxx xxx
รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา xxxxxx
ชื่อโรงเรียน
ภาคเรียนที่ xx ปีการศึกษา xxxx
เมื่อ copy ไป วางใน word พื้นหลังจะมีสีดำแก้โดย  วิธีทำดังนี้
กุมภาพันธ์ 10

ตัวอย่างคำนำรายงาน



ตัวอย่างคำนำรายงาน

รายงานเล่มนี้่่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของวิชา…….ชั้น…เพื่อให้ได้ศึกษาหาความรู้
ในเรื่่อง……..และได้ศึกษาอย่างเข้าใจเพื่อเป็นประโยชน์กับการเรียน
ผู้จัดทำหวังว่า  รายงานเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับผู้อ่าน หรือนักเรียน นักศึกษา ที่กำลัง
หาข้อมูลเรื่องนี้อยู่ หากมีข้อแนะนำหรือข้อผิดพลาดประการใด ผู้จัดทำขอน้อมรับไว้และขออภัยมา
ณ ที่นี้ด้วย

ผู้จัดทำ
 วันที่…………….
กุมภาพันธ์ 14

การเขียนคำนำรายงาน

การเขียนคำนำรายงาน
มีวิธีการเขียน ดังนี้
การเขียนคำนำรายงานนั้นในส่วนของย่อหน้าแรกเราควรเขียนเพื่อเกริ่นเนื้อเรื่องไปก่อนโดย
ยังไม่เข้าเนื้อเรื่อง แต่ควรพยายามพูดชักจูงให้ผู้อ่านสนใจ หรือพูดที่มาที่ไป ก่อน เพื่อให้
ผู้อ่านอยากติดตามต่อ
ส่วนต่อมาควรกล่าวเริ่มเข้าเนื้อเรื่องของเราว่าเราจะทำรายงานเกี่ยวกับอะไร และมี
เรื่องอะไรบ้าง หรือพูดถึงเฉพาะเรื่องสำคัญๆ ก็ได้ และตอนสุดท้ายก็ปิดท้ายว่าทำเพื่ออะไร
เพื่อประโยชน์กับใคร ที่จะได้มาอ่านบทความนี้
และก็อาจกล่าวขอบคุณอาจารย์ผู้สอนหรือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับรายงาน และปิดท้ายด้วย
การขอรับข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อให้รายงานดีขึ้น
ลักษณะของการเขียนคำนำรายงานที่ดี ตามหลักของ ราชบัณฑิต บอกไว้ว่า
1. เขียนด้วยคำพังเพย หรือสุภาษิตที่เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง
2. เขียนอธิบายความหมายของเรื่อง
3. เขียนโดยขึ้นต้นด้วยคำกล่าวของบุคคลสำคัญ
4. เขียนด้วยการเล่าเรื่อง
5. เขียนด้วยคำถามหรือปัญหาที่สนใจ
6. เขียนด้วยการอธิบายชื่่อเรื่อง
7. เขียนคำนำด้วยคำกล่าวถึงจุดประสงค์ของเรื่องที่เขียน
8. เขียนด้วยการกล่าวถึงใจความสำคัญของเรื่องที่เขียน หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับผู้อ่านนะครับ

ขอบคุณคับ
ยังไงก็ลองเอาแนวคิดและวิธีไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับการเขียนคำนำรายงานที่ทำนะครับ
Category: คำนำ | ไม่ให้ใส่ความเห็น
กุมภาพันธ์ 18

ตัวอย่างบรรณานุกรม


ตัวอย่างบรรณานุกรม มีรูปแบบดังนี้

ตัวอย่างบรรณานุกรม
ตัวอย่างบรรณานุกรม

รูปแบบการเขียนบรรณานุกรม

ชื่่อ-นามสกุลผู้แต่ง.  (ปีที่พิมพ์).  ชื่อหนังสือ.  เมืองที่พิมพ์ ผู้รับผิดชอบในการพิมพ์.
เมื่อ copy ไป วางใน word พื้นหลังจะมีสีดำแก้โดย  วิธีทำดังนี้
Category: บรรณานุกรม | ไม่ให้ใส่ความเห็น
มีนาคม 7

วิธีใส่เลขหน้า word 2007


การใส่เลขหน้าใน word 2007


ขั้นตอน ใส่เลขหน้า word 2007 มีดังนี้

1. ไปที่เมนู แทรก
2. ไปที่หมายเลขหน้า
3. เลือกว่าจะไว้ด้านไหนได้เลยครับ ตามรูป
4. เรียบร้อยแล้วครับ
Category: ตั้งค่าโปรแกรม Word | ไม่ให้ใส่ความเห็น
กุมภาพันธ์ 20

วิธีตั้งค่าหน้ากระดาษให้รายงาน


ตั้งค่าหน้ากระดาษ ให้กับรายงาน

วิธีทำจะมีขั้นตอน ดังนี้
1.มาที่แถบเค้าโครงหน้ากระดาษ
2.เลือกระยะขอบ
3.ระยะของแบบกำหนดเอง
4.แก้ช่อง บน ล่าง ซ้าย ขวา
5.ตกลง เป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้วครับ

การเขียนคำนำรายงาน ตามแบบฉบับของผมครับ


การเขียนคำนำรายงาน ง่ายๆสไตล์ผมเองครับ

สวัสดีครับวันนี้ผมยินดีมากที่จะได้มาพูดเกี่ยวกับเรื่องการทำรายงาน โดย วิธีทำนั้นเราต้องประกอบไปด้วยส่วนต่างๆมากมายหลายส่วน และการจะทำแต่ละส่วนได้ก็ต้องศึกษาว่าเรื่องนั้นต้องเขียนอย่างไรบ้างจึงจะ ออกมาดี โดยการทำรายงานต้องมีส่วนต่างๆ ดังนี้ครับ หนึ่งหน้าปก สองคำนำ สามสารบัญ สี่ เนื้อเนื้อ และสุดท้ายคือเอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรมครับ โดยในส่วนของวันนี้ผมจะขอมานำเสนอเรื่อง คำนำ
เพราะคำนำเป็นเหมือนกับการเปิดประเด็นเรื่องราวออกมาให้ผู้อ่าน ได้เริ่มรู้จักกับรายงานของเราโดยคำนำนั้นตอนเริ่มเรายังไม่ต้องบอกเนื้อหา ว่ามีอะไรบ้างจนหมดนะครับเพราะการเขียนคำนำรายงานนั้นเรา ก็ต้องกั๊กไว้ซักนิดก่อน พยายามค่อยๆให้ผู้อ่านติดตามเราและรู้สึกตื่นเต้นไปกับเนื้อหาของเราแล้ว ค่อยพาเค้าเข้าเรื่องของเราครับ
โดยการเขียนคำนำรายงานเริ่มได้ดังนี้ครับ หนึ่งพูดหว่านล้อมเกี่ยวกับเรื่องที่เกี่ยวข้อง เช่นเราอาจจะใช้โวหารบรรยายไปถึงสิ่งต่างเพื่อจะมาเปรียบเทียบเชื่อมโยงกับ เนื้อหารายงานของเราครับ ต่อมาให้พูดถึงประเด็นหลักๆ ว่ารายงานของเรามีเรื่องอะไรอยู่บ้างที่สำคัญๆ ให้บอกเรื่องใหญ่ที่เป็นประเด็นครับ แล้วก็ค่อยๆ บอกเนื้อเรื่องพร้อมเขียนเชิงเชิญชวนให้ไปอ่านต่อในส่วนของเนื้อเรื่องครับ แค่นี้เองครับในส่วนของคำนำที่เราจะต้องเขียน
เราอาจจะต้องมีการดูเรื่องคำพูดให้สละสลวยเพื่อความน่าอ่านของผู้ที่ได้ มาอ่านคำนำของเรา และเราอาจต้องวางโครงเรื่องไว้ก่อนด้วยเพื่อจะได้พูดได้ครอบคลุมเรื่องต่างๆ นั้นจนหมด แล้วยังมีเรื่องของคำผิดด้วยนะครับที่ต้องระวังเพื่อให้ให้เกิดคำผิดพลาดบน รายงานของเราเพื่อจะได้คำนำที่ออกมาอย่างถูกต้องและน่าอ่านครับ
สุดท้ายนี้การเขียนคำนำรายงานไม่ใช่เรื่องที่ยากเลยนะ ครับเพียงแต่เพื่อนๆ ต้องหมั่นคอยฝึกฝนตนเองเป็นประจำแล้วก็จะช่วยให้เพื่อนๆ เขียนได้อย่างคล่องแคล่วลื่นไหล ไม่ติดขัด เพราะเคยมีคนกล่าวไว้ว่าถ้าเราทำสิ่งใดซ้ำไปเรื่อยๆ เราก็จะชำนาญในเรื่องนั้นไปเองครับถึงกับเป็นผู้ชำนาญในด้านนั้นเลยก็ว่าได้ ครับ และถ้าเพื่อนๆคนไหนต้องการเป็นผู้ชำนาญในการเขียนคำนำรายงาน หรือการเขียนรายงานแล้ว อย่าลืมนำสิ่งที่ผมบอกลองไปปฏิบัติกันดูนะครับเผื่อวันหนึ่งเราจะได้เป็นผู้ เชี่ยวชาญด้านการทำรายงานที่ใครๆ ก็ต้องตกใจกับฝีมือของเราเลยก็ว่าได้ครับ และหากเพื่อนอยากลองดูตัวอย่างคำนำรายงานแบบง่ายๆ คลิ๊กเลยครับ ขอบคุณครับ
Category: คำนำ | ไม่ให้ใส่ความเห็น


กุมภาพันธ์ 16

วิธีแก้ ก๊อป(copy) ข้อความจาก web แล้วติดพื้นหลังสีดำ

1 .ครอบดำรายงาน (กด ctrl + A) ที่พื้นหลังเป็นสีดำ
แก้ก๊อบภาพพื้นหลังดำ1
แก้ก๊อบภาพพื้นหลังดำ1
2. เลือก การแรเงา(ภาพถังเทสี )คลิกตรงสามเหลี่ยมคว่ำนะครับ แล้วจะมีหน้าต่างสีชุดของรูปแบบแสดงออกมา
แล้วกดเลือกไม่มีสี
copyภาพจากเนตแล้วดำ
copyภาพจากเนตแล้วดำ
3.พื้นหลังสีดำจะหายไปแล้วนะครับ
แก้ก๊อบพื้นหลังสีดำ
แก้รายงานสำเร็จ

วันศุกร์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2558

การเขียนรายงานที่ดี

 การเขียนรายงานที่ดี


การเขียนรายงานทางวิชาการ

การ เขียนรายงานทางวิชาการ  เป็นเรื่องสำคัญยิ่งสำหรับการเรียน ในระดับอุดมศึกษา  ทั้งนี้เนื่องจากการศึกษาในระดับนี้จะเน้นให้ผู้เรียนรู้จักศึกษาค้นคว้า ด้วยตนเอง  สามารถแสวงหาความรู้   ฝึกฝนการวิเคราะห์และสังเคราะห์ความรู้    รวมทั้งสามารถนำเสนอผลการศึกษาเรียนรู้ของตนเองได้      นักศึกษาจะเขียนรายงานทางวิชาการได้อย่างไร   รายงานลักษณะใดที่จัดว่าเป็นรายงานที่ดี    มีระเบียบวิธีการอะไรบ้างที่จะต้องเรียนรู้ก่อนทำรายงาน   ในบทความนี้จะให้คำตอบที่เป็นหลักปฏิบัติของคำถามเหล่านั้น   เพื่อให้นักศึกษาได้นำไปใช้เป็นแนวทางเบื้องต้นในการเขียนรายงาน  

ลักษณะของรายงานที่ดี
รายงานที่ดีควรมีลักษณะที่สำคัญดังต่อไปนี้  
1.      รูปเล่ม  ประกอบด้วยหน้าสำคัญต่าง ๆ ครบถ้วน  การพิมพ์ประณีตสวยงาม  การจัดย่อหน้าข้อความเป็นแนวตรงกัน    ใช้ตัวอักษรรูปแบบ (Font) เดียวกันทั้งเล่ม  จัดตำแหน่งข้อความและรูปภาพได้สอดคล้องสัมพันธ์ และอ่านง่าย
2.      เนื้อหา  เป็นการนำเสนอผลการศึกษาค้นคว้าที่น่าสนใจของผู้เขียน    แสดงถึงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้อง  เป็นปัจจุบันทันสมัย   ครอบคลุมเรื่องได้อย่างสมบูรณ์  แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งของผู้เขียน   นอกจากแสดงความรู้ในข้อเท็จจริงแล้ว ผู้เขียนควรแสดงถึงความคิดสร้างสรรค์  นำเสนอความรู้หรือประสบการณ์ใหม่ๆ ทรรศนะใหม่ ๆ    หรือแนวทางแก้ปัญหาในเรื่องที่กําลังศึกษาอยู่     ด้วยการเรียบเรียงเนื้อหาเป็นไปตามลำดับไม่ซ้ำซากวกวน    แสดงให้เห็นความสามารถในการกลั่นกรอง  สรุปความรู้และความคิดที่ได้จากแหล่งต่าง ๆ
3.      สำนวนภาษา  เป็นภาษาที่นิยมโดยทั่วไป   สละสลวย  ชัดเจน  มีการเว้นวรรคตอน สะกดการันต์ถูกต้อง  ลำดับความได้ต่อเนื่อง  และสัมพันธ์กันตลอดเรื่อง
4.      การอ้างอิงและบรรณานุกรมถูกต้องตามแบบแผน   มีการแสดงหลักฐานที่มาของข้อมูลอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน  เมื่อกล่าวถึงเรื่องใดก็มีหลักฐานอ้างอิงเพียงพอและสมเหตุสมผล     เลือกใช้ข้อมูลจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้   ซึ่งการแสดงหลักฐานอ้างอิงและบรรณานุกรมจะบ่งบอกถึงคุณภาพทางวิชาการของรายงานนั้น


ข้อควรคำนึงในการทำรายงาน
วัตถุประสงค์ ของอาจารย์ผู้สอนที่กำหนดให้นักศึกษาทำรายงาน  ก็เพื่อให้รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง   ซึ่งการเรียนรู้ด้วยตนเองจะทำให้ผู้เรียนสามารถติดตามความรู้ได้ทันกับการ เปลี่ยนแปลงและความก้าวหน้าทางวิชาการ  ช่วยให้จดจำเรื่องราวที่ตนศึกษาได้อย่างแม่นยำและยาวนาน   เพื่อให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ดังกล่าว  อาจารย์ผู้สอนจึงมักจะพิจารณาประเมินคุณค่าของรายงานดังนี้
1.  ต้องไม่ใช่ผลงานที่คัดลอกของผู้อื่น (สำคัญมาก)  
2.   ต้องเป็นผลงานที่แสดงข้อเท็จจริงอย่างถูกต้องครบถ้วน  (คือมีเนื้อหาสาระที่สามารถตอบคำถาม  ใคร  ทำอะไร  ที่ไหน เมื่อไร ได้)  และมีเนื้อหาสาระที่แสดงเหตุผล แสดงความคิดหรือทรรศนะของผู้เขียน ที่เป็นผลจากการได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวเหล่านั้น   (คือมีเนื้อหาที่ตอบคำถาม  ทำไม- เพราะเหตุใด   ทำอย่างไร) 
3.   ต้องเป็นผลงานที่จัดรูปเล่มอย่างประณีต  อ่านทำความเข้าใจเนื้อหาได้ง่าย    รายงานที่ดีจึงต้องจัดรูปเล่มให้อ่านง่าย  เรียบเรียงเนื้อหาให้เป็นลำดับ  กำหนดหัวข้อเรื่องไม่ซ้ำซ้อนวกวน (ต้องวางโครงเรื่องให้ดี)
4.   ต้องเป็นผลงานที่แสดงถึงจรรยาบรรณของนักวิชาการที่ดี  คือมีการอ้างอิงและทำบรรณานุกรมที่ถูกต้องตามแบบแผน  แสดงหลักฐานที่มาอย่างถูกต้องละเอียดถี่ถ้วน

ขั้นตอนการทำรายงาน

ารทำรายงานให้ประสบความสำเร็จ  ควรวางแผนดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอน ดังนี้
1.      กำหนดเรื่อง
การกำหนดเรื่องที่จะทำรายงาน  ต้องเกิดจากความต้องการอยากรู้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ควรเป็นเรื่องที่นักศึกษาสนใจ    หรือมีความรู้ในเรื่องนั้นอยู่บ้างแล้ว    ขอบเขตของเรื่องไม่ควรกว้างหรือแคบเกินไป   เพราะถ้ากว้างเกินไปจะทำให้เขียนได้อย่างผิวเผิน หรือถ้าเรื่องแคบเกินไปอาจจะไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะเขียนได้   ในการกำหนดเรื่องควรคิดโครงเรื่องไว้คร่าว ๆ  ว่าจะมีเนื้อหาในหัวข้อใดบ้าง 
2.      สำรวจแหล่งข้อมูล
แหล่งข้อมูลเบื้องต้นควรเริ่มที่ห้องสมุดและอินเทอร์เน็ต  ในการสำรวจควรใช้เครื่องมือที่แหล่งนั้นจัดเตรียมไว้ให้ เช่นห้องสมุดควรใช้  บัตรรายการ  บัตรดัชนีวารสาร  และ โอแพค (OPAC)  เป็นต้น  การค้นทางอินเทอร์เน็ตควรใช้เว็บไซต์ Google, Yahoo  เป็นต้น  นักศึกษาต้องเรียนรู้วิธีใช้เครื่องมือและคำสั่งในการสืบค้นให้เข้าใจดีเสีย ก่อน  จึงจะช่วยให้ค้นคว้าได้รวดเร็วและได้เนื้อหาสาระที่ครบถ้วน     เมื่อได้ข้อมูลที่ต้องการแล้วจะต้องจัดเก็บรวบรวมให้เป็นระบบ  เป็นหมวดหมู่    เอกสารที่รวบรวมได้ทุกรายการต้องเขียนบรรณานุกรมบอกแหล่งที่มาไว้ด้วย  เพื่อใช้ค้นคืนไปยังแหล่งเดิมได้อีกในภายหลัง
3.      กำหนดโครงเรื่อง
การกำหนดโครงเรื่อง เป็นการกำหนดขอบข่ายเนื้อหาของรายงานว่าจะให้มีหัวข้อเรื่องอะไรบ้าง  โครงเรื่องที่ดีจะต้องมีสาระสำคัญที่ตอบคำถาม  5W1H ได้ครบถ้วน  กล่าวคือ เนื้อหาของรายงานควรตอบคำถามต่อไปนี้ได้   เช่น     ใครเกี่ยวข้อง (Who)  เป็นเรื่องอะไร (What)  เกิดขึ้นเมื่อไร (When)  ที่ไหน (Where)   ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น--เพราะเหตุใด (Why)   เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร หรือมีวิธีทำอย่างไร (How) 
การคิดโครงเรื่องอาจใช้ผังความคิด (Mind map) ช่วยในการกำหนดประเด็นหัวข้อใหญ่หัวข้อรอง   ส่วนการจัดเรียงหัวข้อให้มีความสัมพันธ์เป็นลำดับต่อเนื่องที่ดี อาจใช้ผังความคิดแบบก้างปลา (Fish bone diagram) หรือแบบต้นไม้ (Tree diagram)   จะช่วยให้เห็นความสัมพันธ์ของแนวคิดได้ง่ายขึ้น    การตั้งชื่อหัวข้อควรให้สั้นกระชับได้ใจความครอบคลุมเนื้อหาในตอนนั้น ๆ
4.      รวบรวมข้อมูลตามโครงเรื่อง 
เมื่อกำหนดโครงเรื่องแน่ชัดดีแล้ว  จึงลงมือสืบค้นและรวบรวมข้อมูลตามบรรณานุกรมที่รวบรวมไว้ในขั้นตอนการสำรวจ     การรวบรวมอาจจะถ่ายเอกสารจากห้องสมุด หรือพิมพ์หน้าเอกสารที่ค้นได้จากอินเทอร์เน็ต  เสร็จแล้วนำข้อมูลที่รวบรวมได้มาแยกตามหัวข้อเรื่องที่กำหนดไว้
5.      อ่านตีความ สังเคราะห์ข้อมูล และจดบันทึก
การอ่านให้เน้นอ่านจับใจความสำคัญของเรื่อง  เพื่อดึงเนื้อหาที่สอดคล้องกับประเด็น แนวคิดต่างๆ ตามโครงเรื่องที่กำหนดไว้   ทำการบันทึกเนื้อหาลงในบัตรบันทึก  เสร็จแล้วนำบัตรบันทึกมาจัดกลุ่มตามประเด็นแนวคิด เพื่อใช้ในการเรียบเรียงเนื้อหาของรายงานต่อไป    หรืออาจทำเครื่องหมายตรงใจความสำคัญ (ขีดเส้นใต้) แทนการทำบัตรบันทึก  (กรณีเป็นหนังสือของห้องสมุดไม่ควรขีดเขียนหรือทำเครื่องหมายใดๆ)
6.      เรียบเรียงเนื้อหา
เนื้อหาสาระที่นำมาเรียบเรียงต้องเป็นเนื้อหาที่ได้จากการประเมิน วิเคราะห์ และสังเคราะห์จากขั้นตอนที่ 5 มาแล้ว   (การวิเคราะห์และสังเคราะห์สารสนเทศ   สามารถศึกษาและฝึกปฏิบัติได้ในรายวิชาสารสนเทศและการศึกษาค้นคว้า)


 ส่วนประกอบของรายงาน
รายงานประกอบด้วยส่วนสำคัญ 4 ส่วนคือ 1) ส่วนนำเรื่อง ได้แก่ ปกนอก  ปกใน  คำนำ สารบัญ  2) ส่วนเนื้อเรื่อง ประกอบด้วย บทนำ  เนื้อเรื่อง และบทสรุป  3) ส่วนอ้างอิง ประกอบด้วยรายการอ้างอิง บรรณานุกรม  และ  4) ภาคผนวก  ซึ่งแต่ละส่วนควรมีสาระสำคัญดังนี้
1.  ปกนอกและปกใน  ปกนอกใช้กระดาษอ่อนที่หนากว่าปกในซึ่งอาจเลือกสีได้ตามต้องการ  ไม่ควรมีภาพประกอบใด ๆ   ส่วนปกในและเนื้อเรื่องให้ใช้กระดาษขาวขนาด A4 ความหนาไม่ต่ำกว่า 80 แกรม   ปกในพิมพ์ข้อความเช่นเดียวกับปกนอก    ข้อความที่ปกนอกปกในประกอบด้วย  ชื่อเรื่องของรายงาน  ชื่อผู้เขียน  รหัสประจำตัว  ชื่อวิชา   ชื่อสถานศึกษา  และช่วงเวลาที่ทำรายงาน  ดังตัวอย่าง

ตัวอย่าง

2.  คำนำ   กล่าวถึงความสำคัญ วัตถุประสงค์ ความเป็นมา  ประเด็นหัวข้อเนื้อหาในรายงานเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากติดตามเรื่อง ซึ่งอาจเป็นปัญหา ประโยชน์หรือผลกระทบอย่างไรต่อผู้อ่านและสังคม  อาจกล่าวขอบคุณหรือบอกแหล่งที่มาของข้อมูล เพื่อให้เกิดความน่าเชื่อถือในข้อมูลที่นำเสนอ  สุดท้ายระบุชื่อ-สกุล ผู้เขียนรายงานและวันเดือนปีในการทำรายงาน  ดังตัวอย่าง

ตัวอย่าง

3. สารบัญ   ระบุหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง (ถ้ามี) และเลขหน้า     ใช้จุดไข่ปลาลากโยงจากหัวข้อไปยังเลขหน้าให้ชัดเจน   การพิมพ์สารบัญต้องจัดย่อหน้าและเลขหน้าให้ตรงกัน  ดังตัวอย่าง

4.  เนื้อเรื่อง   
เนื้อเรื่องประกอบด้วยส่วนสำคัญ 3 ส่วนคือ  ส่วนนำเรื่อง  ส่วนเนื้อเรื่อง  และส่วนสรุป  
ส่วน นำเรื่องหรือบทนำ  ต้องเขียนให้ผู้อ่านเกิดความสนใจอยากที่จะอ่านเนื้อหาต่อไป    บทนำอาจกล่าวถึง ความสำคัญ  บทบาท  ปัญหา  ผลกระทบ  วัตถุประสงค์  ขอบเขตเนื้อหา  หรือประโยชน์ที่ผู้อ่านจะได้รับ เป็นต้น  ซึ่งประเด็นที่กล่าวนี้ไม่จำเป็นต้องมีทั้งหมด แต่อย่างน้อยให้มีประเด็นใดประเด็นหนึ่งดังที่กล่าว 
ตัวอย่างการเขียนบทนำเรื่องแนวคิดการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่าน
 การ อ่านเป็นสื่อกลางของการเรียนรู้  ผู้ที่อ่านมากย่อมมีความรู้มาก  เราสามารถแสวงหาความรู้ได้ด้วยการอ่าน  แต่จากผลการศึกษาของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ)  พบว่าความสามารถของผู้เรียนในการแสวงหาความรู้อยู่ในระดับที่ต้องปรับปรุง  การอ่านของนักเรียนไทยตกต่ำลงทุกปี  จึงเป็นปัญหาที่น่าสนใจในการช่วยกันส่งเสริมทักษะการอ่านให้กับนักเรียนไทย  เพื่อให้เกิดความรู้สึกอยากอ่าน  มากกว่าการอ่านเพื่อสอบเก็บคะแนน
ส่วนเนื้อเรื่องเป็นส่วนที่แสดงข้อเท็จจริง  ข้อเสนอแนะ  ความคิดเห็น หรือผลสรุปที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน   การนำเสนอเนื้อหาจะต้องมีหลักฐานอ้างอิง มีข้อมูลสถิติ ภาพประกอบ ตาราง แผนที่ แผนภูมิ ตามความจำเป็น  ซึ่งจะทำให้เนื้อเรื่องมีความน่าเชื่อถือและเข้าใจได้ง่าย   (ดูตัวอย่างการอ้างอิงในข้อ 5)
ส่วน สรุป เป็นส่วนชี้ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนต้องการบอกผู้อ่าน  ผู้เขียนอาจสรุปเนื้อหาตามลำดับหัวข้อใหญ่แต่ละหัวข้อทั้งหมดจนจบ  โดยสรุปหัวข้อละ 1 ย่อหน้า   หรือเลือกสรุปเฉพาะประเด็นสำคัญสั้นๆ ก็ได้  ที่สำคัญในการสรุปจะต้องไม่นำเสนอประเด็นเนื้อหาใหม่อีก

5. การอ้างอิง   
การ อ้างอิงจะแทรกเป็นวงเล็บไว้ในเนื้อเรื่อง   เพื่อบอกแหล่งที่มาของข้อมูล  เป็นการยื่นยันความถูกต้องและแสดงความน่าเชื่อถือของข้อมูล   การอ้างอิงให้ระบุชื่อผู้แต่ง  ปีพิมพ์  และเลขหน้า   หรือที่เรียกว่าอ้างอิงแบบ  นาม- ปี  ซึ่งมีวิธีการดังนี้

5.1   ระบุไว้หลังข้อความที่อ้าง  เช่น 
สารสนเทศ หมายถึง ข้อเท็จจริง เหตุการณ์ ที่ผ่านกระบวนการ ประมวลผล มีการถ่ายทอด และการบันทึกไว้ในรูปแบบต่างๆ เช่น หนังสือ วารสาร หนังสือพิมพ์ รายงาน โสตทัศนวัสดุ เทปคอมพิวเตอร์ ตลอดจนการถ่ายทอดในรูปแบบอื่นๆ เช่น คำพูด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเผยแพร่ให้ผู้รับสารได้ทราบ   (ประภาวดี  สืบสนธิ์, 2543, หน้า 6)

5.2     ระบุไว้ก่อนข้อความที่อ้าง  เช่น
ชุติมา  สัจจานันท์ (2530, หน้า 17) ให้ความหมายของสารสนเทศไว้ว่า คือ ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ข้อสนเทศ สารสนเทศ ทั้งในรูปแบบสิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ และวัสดุย่อส่วน เพื่อใช้ประโยชน์ทางการสื่อสารและการพัฒนาด้านต่างๆ ทั้งส่วนบุคคลและสังคม

หลักธรรมาภิบาล มีองค์ประกอบที่สำคัญ 6 ประการดังนี้  (สำนักงาน ก.พ., 2550,  หน้า 15)
1.  หลักนิติธรรม
2. หลักคุณธรรม
3. หลักความโปร่งใส

บรรณานุกรม  หน้าบรรณานุกรมจะอยู่ต่อจากส่วนเนื้อเรื่อง   โดยให้รายละเอียดเกี่ยวกับหนังสือที่นำมาอ้างอิงไว้ในรายงานได้แก่  ชื่อผู้แต่ง ปีพิมพ์  ชื่อบทความ  ชื่อหนังสือ  ครั้งที่พิมพ์  และสถานที่พิมพ์  เป็นต้น 
               การเขียนบรรณานุกรมมีรูปแบบที่เป็นสากลหลายรูปแบบ  แต่ที่ใช้กันแพร่หลายในปัจจุบันมีอยู่ 2 แบบคือ แบบ MLA (Modern Language Association Style) ซึ่งนิยมใช้ในสาขามนุษยศาสตร์  และแบบ  APA (American Psychological Association Style) ซึ่งนิยมใช้ในสาขาวิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์       ในที่นี้จะแนะนำการเขียนบรรณานุกรมแบบ  APA   เพื่อให้นักศึกษาใช้เป็นหลักในการเขียนบรรณานุกรมประกอบการทำรายงานทางวิชาการ

    การเขียนบรรณานุกรมตามรูปแบบ APA  มีหลักเกณฑ์กำหนดแยกตามชนิดของสื่อแต่ละประเภทดังนี้

หนังสือ
               รูปแบบ: ชื่อผู้แต่ง.  (ปีพิมพ์).  ชื่อหนังสือ  (ครั้งที่พิมพ์).  สถานที่พิมพ์ : สำนักพิมพ์
                           อุทัย  หิรัญโต. (2531). หลักการบริหารบุคคล. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
                           Baxter, C. (1997). Race equality in health care and education.
                                     Philadelphia : Ballière Tindall.

วารสาร  นิตยสาร      
               รูปแบบ: ชื่อผู้แต่ง.  (ปีพิมพ์).  ชื่อบทความ.  ชื่อวารสาร, ปีที่(ฉบับที่), เลขหน้า.                                   
                           สำนักงานเกษตรและสหกรณ์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ. (2537).  ความรู้ทั่วไป
                                    เกี่ยวกับเห็ดพิษ.  เกษตรก้าวหน้า, 9(2), 45-47
                           Klimoski, R., & Palmer, S. (1993). The ADA and the hiring process in
                                    organizations. Consulting Psychology Journal: Practice and
                                    Research, 45(2), 10-36.

หนังสือพิมพ์  
               รูปแบบ:          ชื่อผู้แต่ง.  (ปี, เดือน วัน).  ชื่อบทความ.  ชื่อหนังสือพิมพ์, หน้า
                           สุนทร  ไชยชนะ.  (2551, กุมภาพันธ์ 25).  หนองหานสกลนครวันนี้.  มติช, หน้า 10.
                           Brody, J. E. (1995, February 21). Health factor in vegetables still elusive.  
                                    New York Times, p. C1.

             วิทยานิพนธ์
               รูปแบบ: ชื่อผู้แต่ง. (ปี).  ชื่อวิทยานิพนธ์.  วิทยานิพนธ์ ระดับปริญญา สาขาวิชา, สถาบัน.
                                    จิราภรร์ ปุญญวิจิตร. (2547). การศึกษาความเป็นไปได้ในการบริหารจัดการ
                                    ในโรงเรียนที่จัดการเรียนการสอนระบบนานาชาติระดับชั้นอนุบาลใน
                                    จังหวัดพระนครศรีอยุธยาตามความต้องการของผู้ปกครอง.  วิทยานิพนธ์
                                    ครุศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารการศึกษา, มหาวิทยาลัยราชภัฏ
                                    พระนครศรีอยุธยา.

อินเทอร์เน็ต
               รูปแบบ: ชื่อผู้แต่ง.  (ปี, เดือน วัน).  ชื่อบทความ.  ค้นเมื่อ วัน เดือน ปี  จาก URL
                                                  ธนู  บุญญานุวัตร. (2545).  การสืบค้นสารสนเทศทางอินเทอร์เน็ต.  ค้นเมื่อ 
                                    6 ธันวาคม 2551 จาก http://www.aru.ac.th/research.html.
                                    American Psychological Association. (1999, June 1). Electronic preference
                                    formats recommended by the American Psychological Association.
                                    Retrieved July 18, 1999, from http://www.apa.org/journals/ webref.html

การพิมพ์รายงาน

รูปเล่มรายงานที่สวยงามประณีต ชวนอ่านและอ่านง่ายนั้น  จะต้องคำนึงถึงการจัดวางหน้า ระยะขอบพิมพ์  การย่อหน้า  การใช้ตัวอักษร  ซึ่งมีหลักเกณฑ์ให้ถือปฏิบัติดังนี้   
1.      พิมพ์รายงานด้วยเครื่องเลเซอร์  ตัวอักษรที่ใช้พิมพ์ให้ใช้ตัวอักษร Angsana UPC  ขนาด  16 ปอยท์  ใช้กระดาษมาตรฐานขนาด A4 ไม่มีกรอบไม่มีเส้น หมึกพิมพ์สีดํา
2.      จัดระยะขอบกระดาษให้ขอบกระดาษบนและซ้ายห่าง 1.5 นิ้ว ขอบกระดาษล่างและขวาห่าง 1 นิ้ว    การจัดขอบข้อความด้านขวาไม่จำเป็นต้องจัดตรงทุกบรรทัด 
3.      การย่อหน้า ให้ย่อหน้าที่ 1 เว้นระยะจากขอบพิมพ์  7 ระยะตัวอักษรพิมพ์ตรงอักษรตัวที่ 8   ย่อหน้าต่อ ๆ ไป ให้เว้นเข้าไปอีกย่อหน้าละ 3  ตัวอักษร  คือย่อหน้าที่ 2  พิมพ์ตรงอักษรตัวที่ 11  และย่อหน้าที่ 3  พิมพ์ตรงอักษรตัวที่ 14  เป็นต้น 
4.      ชื่อบท ให้พิมพ์กลางหน้ากระดาษ (ได้แก่  คํานํา  สารบัญ  บทที่ 1..   บรรณานุกรม)   ชื่อบทใช้อักษร Angsana UPC  ขนาด  18 ปอยท์    เว้นบรรทัดระหว่างชื่อบทกับข้อความที่เป็นเนื้อหา 1 บรรทัด (คือพิมพ์ชื่อบทแล้วเคาะEnter 2 ครั้ง)
5.       หัวข้อใหญ่ ให้พิมพ์ชิดขอบพิมพ์ด้านขวา และทำตัวหนา-ดำ    ส่วนหัวข้อรองพิมพ์ตรงย่อหน้าที่ 1  (ตรงอักษรตัวที่ 8)  หากมีหัวข้อย่อย ๆ ภายใต้หัวข้อรองให้พิมพ์ตรงย่อหน้าที่ 2, 3…. ตามลำดับ
6.       บรรณานุกรมให้จัดพิมพ์เรียงตามลำดับตัวอักษร   เรียงบรรณานุกรมภาษาไทยก่อนภาษาอังกฤษ   บรรณานุกรมแต่ละรายการให้พิมพ์ชิดขอบพิมพ์ด้านซ้าย (ไม่ย่อหน้า)  กรณีพิมพ์ไม่จบในบรรทัดเดียว  ให้พิมพ์ต่อตรงย่อหน้าที่ 1  หรืออักษรตัวที่ 8   
สรุป
รายงาน ทางวิชาการเป็นผลจากการแสวงหาความรู้ตามขอบข่ายเนื้อหาสาระในรายวิชาต่างๆ  ที่อาจารย์ผู้สอนมอบหมาย    เพื่อให้นักศึกษามีประสบการณ์ในการเรียนรู้ด้วยตนเอง พร้อมไปกับการมีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระของรายวิชาเหล่านั้น
การทำรายงานทางวิชาการอย่างเป็นขั้นตอน โดยเริ่มจาก  1) กำหนดเรื่อง  2) สำรวจแหล่งข้อมูล เพื่อค้นหาข้อมูลเบื้องต้นมาเป็นแนวทางในการ  3) กำหนดโครงเรื่อง   4) การรวบรวมข้อมูลตามโครงเรื่อง  5) การอ่านวิเคราะห์และสังเคราะห์  แล้วจึงลงมือ 6) เขียนรายงาน  จะช่วยลดความยุ่งยากและช่วยให้การทำรายงานสำเร็จได้โดยง่าย    
รายงานทางวิชาการที่ดี  จะพิจารณากันที่  รูปเล่ม  เนื้อหา  การเขียนอธิบายความชัดเจน  เข้าใจง่าย   มีการแสดงหลักฐานอ้างอิงและบรรณานุกรม ที่มาของข้อมูลอย่างละเอียดถี่ถ้วน ถูกต้องตามแบบแผน   

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

http://web.aru.ac.th/thanoo/images/stories/information/report.doc

วันอังคารที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2558

F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง

F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง 

F1ถึงF12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง

หากท่านลองก้มลงไปดูที่คีย์บอร์ดของท่าน ตรงแถบบนสุด แน่นอนว่าจะเห็นเจ้า F1 ถึง F12 และเชื่อได้เลยว่าหลายๆท่านไม่ได้ใช้งานมันเท่าไหร่ หรือ บางท่านอาจจะไม่รู้จักมันเลยด้วยซ้ำ ดังนั้น เราจึงขอแนะนำ การทำงานคีย์ฟังก์ชั่นในคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Microsoft Windows หรือที่ส่วนมากเรียกกันว่า ?ฟังก์ชันคีย์? ซึ่งแต่ก่อนมีตั้งแต่ F1 จนถึง F32 แต่ปัจจุบันจะเห็นเพียง F1 ถึง F12 ซึ่งการใช้งานจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งและ โปรแกรมซอฟต์แวร์ที่เปิดอยู่ แล้วแต่ละทำงานอย่างไร เป็นตัวช่วยได้แค่ไหน หรือว่ามีประโยชน์อย่างไร ลองไปดูกันเลย

F1 ถึง F12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง

F1 มักจะใช้เป็นคีย์ช่วยเกือบจะทุกโปรแกรมจะเปิดหน้าจอ ป้อนการตั้งค่า CMOS Windows Key + F1 จะเปิดตัวช่วยของ Microsoft Windows เปิดบานหน้าต่างงาน

F2 ใน Windows จะใช้ในการเปลี่ยนชื่อไฟล์หรือไอคอน Alt + Ctrl + F2 เปิดเอกสารใหม่ในโปรแกรม Microsoft Word . Ctrl + F2 จะแสดงหน้าต่างตัวอย่างก่อนพิมพ์ใน Microsoft Word เข้าสู่การป้อนการตั้งค่า Bios หรือ CMOS

F3 จะช่วยเปิดคุณลักษณะการค้นหาในหลายๆโปรแกรมรวมถึง Microsoft Windows ใน MS ? DOS หรือ Windows ของบรรทัดคำสั่ง F3 จะทำซ้ำคำสั่งสุดท้าย Shift + F3 จะมีการเปลี่ยนแปลงข้อความใน Microsoft Word

F4 เปิดพบหน้าต่าง ทำซ้ำการกระทำล่าสุด ( ตั้งแต่ Word 2000 ขึ้นไป ) Alt + F4 จะปิดโปรแกรมที่ใช้งานอยู่ใน Microsoft Windows Ctrl + F4 จะปิดหน้าต่างที่เปิดอยู่ในหน้าต่างที่ใช้งานในปัจจุบันใน Microsoft Windows

F5 ในทุกเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต F5 จะรีเฟรชหรือโหลดหน้าเว็บหรือหน้าต่างเอกสารเปิดหน้าแทนที่ ค้นหา และไปที่หน้าต่างใน Microsoft Word เริ่มสไลด์โชว์ใน PowerPoint



F1ถึงF12 รู้ไหมว่ามันทำอะไรได้บ้าง

F6 เป็นการย้ายเคอร์เซอร์ไปที่ Address bar ใน Internet Explorerและ Mozilla Firefox .
Ctrl + Shift + F6 เปิดไปยังเอกสารอื่น ๆ ใน Microsoft Word

F7 ปกติจะใช้เพื่อตรวจสอบการสะกดและไวยากรณ์ตรวจสอบเอกสารในโปรแกรม Microsoft เช่น Microsoft Word, Outlook, เป็นต้น Shift + F7 ทำงานตรวจสอบบนคำที่ไฮไลต์ เป็นการเปิดการใช้งานเลือนหน้าต่างด้วยปุ่มลูกศรบนคีย์บอร์ดใน Mozilla Firefox

F8 แป้นฟังก์ชันที่จะใช้ในการเข้าสู่เมนูเริ่มต้น Windows, นิยมใช้ในการเข้าถึง Windows แบบ Safe Mode .

F9 เปิดแถบเครื่องมือวัดใน Quark 5.0

F10 ใน Microsoft Windows เปิดใช้งานแถบเมนูของโปรแกรมที่เปิดอยู่ Shift + F10 เป็นเช่นเดียวกับการคลิกขวาบนไอคอนที่ไฮไลต์ไฟล์หรือการเชื่อมโยงอิน เทอร์เน็ต เป็นการเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ ของ HP และ Sony คอมพิวเตอร์ ป้อนการตั้งค่า CMOS .

F11 การทำโหมดเต็มหน้าจอในเบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ต CTRL + F11 เป็นการเข้าถึง การกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่ในคอมพิวเตอร์ของ Dell การเข้าถึงการกู้คืนพาร์ทิชันที่ซ่อนอยู่บน eMachines, Gateway, และคอมพิวเตอร์ Lenovo

F12 เป็นการเปิดหน้าที่ทำการบันทึกใน Microsoft Word SHIFT + F12 เป็นการบันทึกเอกสาร Microsoft Word
Ctrl + Shift + F12 เป็นการพิมพ์เอกสารใน Microsoft Word